เราทำงานฟังใจ 4 ปีแล้ว และเรากำลังจะออก ประหลาดดีที่จะออกจากบริษัทที่เราเป็นคนตั้งชื่อเอง ตอนแรกเราไม่ชอบชื่อนี้เลยรู้สึกจั๊กจี๋ พูดในรถระหว่างกำลังไปบ้านแพนด้าเรคคอร์ดกับพี่ท้อปและพี่ปัด เวลาผ่านมาไวมาก แลฟังใจก็ปรับเปลี่ยนไปเยอะมาก
เหตุผลหลักสำคัญที่เราออกคือ เรามีเป้าหมายระยะยาวและความสนใจไม่ตรงกันกับที่นี่ เราอยากเห็นโลกด้านอื่นๆ บ้าง ไม่ใช่เรื่องผิดของใครเลย ที่นี่มีจุดประสงค์ที่ดีมากๆ และแทบจะเป็นอุดมคติ
เราโชคดีมากที่เจอคนดีๆในชีวิตมาตลอดตั้งแต่เรียนจบมา โชคดีจริงๆ แบบเกิดอะไรขึ้น แต้มบุญเราจะหมดเมื่อไหร่นะ อย่างแรกคือ เรามีเจ้านายที่ดีมาก รับฟังและเชื่อใจเราเสมอ ให้เครดิตคนอื่นเสมอ เจอคนที่อื่นเล่าถึงเรื่องดราม่าป่วงๆ ในบริษัทเขา เราก็รู้สึกว่าเออโชคดีจังไม่ต้องมาเจอเรื่องราวเหล่านี้ให้เสียเวลาชีวิต ทำให้เราได้โฟกัสกับงานเต็มที่ กินอิ่ม นอนหลับ มีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ เช่นอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ มีเวลาฟุ้งซ่าน เรียนออนไลน์ อะไรก็ตาม
ฟังใจเป็นบริษัทที่รวมคนหนุ่มสาวนิสัยดี ประหลาด น่าสนใจ มาไว้ด้วยกัน ทุกกิจกรรมเกิดขึ้นได้ที่นี่ มีรีวิวบริษัททุก 4 เดือนที่จะรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะจากเรา คอยเช็คอัพชีวิตและจิตใจของเราเรื่อยๆ ที่สำคัญ เราสามารถโต้เถียงกับคนที่โตกว่าเราได้โดยที่เขาเปิดใจและรับฟังจริงๆ เรารู้สึกว่าบริษัทได้พัฒนา ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตาม feedback เท่าที่จะทำได้ สร้างวัฒนธรรมแบบเราๆ ที่เป็นหมู่บ้านรู้สึกเป็นพี่น้องมากกว่าเพื่อนร่วมงาน เคารพชีวิตส่วนตัว มีตารางชีวิตที่จัดการได้
เราเข้ามาตอนมันเป็นโปรเจ็คขนาด 3 เดือนที่ยังไม่รู้ว่าจะกลายเป็นอะไร ตอนนั้น เรายังไม่อยากเข้าบริษัทที่ traditional (ซึ่งข้อดีข้อเสียต่างกันนะ น่าถกเถียงกันมากเลย) ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเติบโตไปกับมัน ได้ลองทำหลายอย่าง นัดเจอเพื่อนแต่ละที เราก็มีหน้าที่เปลี่ยนไป ต้องอธิบายใหม่เรื่อยๆ แต่ไม่เคยเสียใจที่เลือกทำงานที่นี่ เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ ได้มีทักษะที่หลากหลาย ที่นี่เปิดโอกาสให้เราลองอะไรเยอะมาก แทบจะเหมือนเป็นสถานศึกษามากกว่าที่ทำงาน
คนอื่นๆ เข้ามาฟังใจตอนที่มันเริ่มมีจุดมุ่งหมายและนํ้าเสียงที่ชัดเจนแล้ว อาจมีคนมองว่ามันเท่ มันคูล มันฮิปสเตอร์ (ไม่ว่าจะชื่นชมหรือเหยียดก็ตาม 55)
เรามองว่ามันคือแบรนด์เด๋อๆ เพื่อนเด็กขี้เหงา คนเศร้า คนซึมมาตลอด เราพยายามสร้างแบรนด์ที่พูดภาษามนุษย์มากๆ เป็นกันเอง เป็นคนมากๆ คนฟังมาหาฟังใจตอนเขาเศร้าและเหงา เวลาที่เขาอยากหนีจากโลกความจริง เขาคือวัยรุ่นที่ยังอยากค้นหา หรือเป็นผู้ใหญ่ที่ยังไม่อยากแก่ อยากมีเพื่อนที่ฟังเพลงเหมือนกันแต่ก็ไม่อยากเหมือนคนอื่น เป็นกลุ่มที่เอาใจยากมาก แต่เราก็สนุกมากที่จะพยายามเข้าใจเขา แม้เขาจะไม่เหมือนเราเลยก็ตาม
เราคิดเรื่องนี้มานานมาก คนที่ฟังใจรักดนตรีมาก เพลงคือส่วนสำคัญของชีวิต แต่เรามีด้านอื่นๆ ที่เราสนใจที่เราอยากไปสำรวจและลองทำให้ชีวิตวุ่นวายบ้าง เคยมีบางวันเศร้ามาก เขียนจดหมายลาออก แต่ไม่ได้ส่ง 555 เศร้าเพราะเหมือนเจอคนที่รักกันมากๆ เพียงแต่เราไม่มีเป้าหมายในชีวิตร่วมกัน บริษัทควรจะได้คนที่มีจุดมุ่งหมายและความสนใจเดียวกันมาทำงานด้วย เจอเพื่อนคุยกับเพื่อนๆเคยบอกว่า มึงพูดเหมือนที่ทำงานเป็นผัวมากๆ 555
แต่วันหนึ่งเราก็ต้องปล่อยที่ถือไว้ลงไป วันหนึ่งเราก็ต้องไป ชีวิตก็เท่านี้แหละ และฟังใจหลังจากนี้ก็คงเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันตามสภาพแวดล้อม ความต้องการของคนฟัง และสภาพสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมที่ผันผวน รสนิยมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่สิ่งมีชีวิตใดใดย่อมเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อความอยู่รอด มีแต่คนที่ตายแล้วที่เหมือนเดิมตลอดไป
ตอนเราอายุ 80 ปี ถ้ายังอยู่นะ อาจจะย้อนกลับมาดูอาจคิดว่าเราช่างเอาแต่ใจ เรากำลังลาจากบริษัทที่เรารักมากและรักเรามากแบบที่อาจหาที่อื่นไม่ได้ แม่บอกเสมอว่าคนอื่นเขาเลือกไม่ได้นะ เรารู้ว่าเราโชคดีมาก ทุกคนสนับสนุนทุกทางที่เราเลือกแม้จะไม่เข้าใจมากนักก็ตาม พ่อแม่บอกว่า อยู่เฉยๆ นอนอยู่บ้านบ้างก็ได้นะ แต่ฉันชอบทำให้ชีวิตตัวเองลำบาก บางครั้งก็งงว่าจะพาตัวมาสู่ความไม่แน่นอนทำไม
จริงๆ ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่เป็นคนวุ่นวายคนหนึ่ง 5555 แต่นี่คือการเติบโตและเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิดขึ้น ฉันพยายามให้มันนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติที่สุด แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย คนวัย 27 ปีในทุกสมัยก็คงเคยผ่านมันมาก่อนทั้งนั้นแค่คนละบริบทกัน ชีวิตก็ดำเนินต่อไป ตื่นเต้นจังๆๆ
❤️ทราย