In praise of design education

Essays / Writing

ตั้งแต่จำความได้คืออยากไปโรงเรียน แต่พอไปโรงเรียนแล้วก็ไม่เห็นสนุกเลย ขี้เกียจออกจากบ้านไปเจอโลกภายนอก ครูมักจะมีชุดข้อมูลที่ไม่อัพเดต ห้องเรียนที่เงียบกริบ หลบตาอาจารย์ และข้อสอบที่คำตอบเหมือนๆกันเพื่อจะได้ตรวจให้คะแนนง่ายๆ วัดผลง่ายๆ อ่านหนังสืออยู่บ้านเองสนุกกว่าตั้งเยอะ เราแค่เข้าใจระบบประเมินนี้ ทำตามๆไป ก็จะได้เกรดดีๆ แบบไม่ลำบาก

แต่การเรียนออกแบบนี่แหละที่รู้สึกว่าโรงเรียนมีฟังก์ชั่นที่บ้านทำไม่ได้ ได้เกิดบทสนทนากับอาจารย์และเพื่อน ได้ซึมซับสิ่งที่น่าสนใจ คนที่พลังงาน creative ทำให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาไปด้วย มี topic ที่น่าสนใจเสมอ

ในโรงเรียนออกแบบ หนึ่งโจทย์สามารถเกิดได้หลายคำตอบที่หลากหลายไม่ซํ้ากัน และมันไม่มีผิด ไม่มีถูก แล้วเราจะประเมินได้ยังไงว่าดีพอแล้ว ทำให้เราอยู่คนเดียวไม่ได้อีกต่อไป ของดีๆ นั้นเกิดจากการประกอบจากหลายส่วนทั้งกระบวนการทางจิตใจ ความเป็นคน และทางเทคนิคัล

อยู่ๆ ก็อยากชื่นชมใน design education มันควรอยู่กลมกลืนอยู่ในหลักสูตรอื่นๆ มากเลย สัปดาห์ที่แล้วคุยกับเพื่อนว่าชอบการเรียนไอดีมากๆ ทำให้เห็นรอบ ได้ไปส่องโรงงานได้เห็นว่าสิ่งต่างๆที่เราใช้กัน สร้างอย่างไร ได้สอดส่องเข้มข้นและพยายามเข้าใจว่าทำเพื่อทาเก็ตคือใคร มีชีวิตจิตใจอย่างไร ปรารถนาสิ่งใด ขาดอะไร ทำให้เราหาความต้องการ ความปรารถนาให้เจอ หาปัญหาให้เจอ ทดสอบสมมติฐานของเรา

เพราะการพบปัญหาที่แท้จริงคือการแก้ปัญหาไปแล้ว 50% ❤️

การออกแบบไม่เคยเกี่ยวกับการออกแบบเฉยๆ จะต้องเกี่ยวพันกับคนอื่นและเรื่องอื่นเสมอ เราได้เห็นนักออกแบบที่เราชื่นชมเช่น Alan Fletcher เขาต้องมีความรู้รอบเกี่ยวโลก คน วัฒนธรรม ธุรกิจ กระแสสังคม เราต้องเข้าใจความเป็นคนเพื่อออกแบบเพื่อเขา เราต้องสะสมความรู้และ insight อยู่เสมอ ต้องทันโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ไว และไวขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องน่ารู้เยอะมาก จนไม่รู้ว่าจะสิ้นความสงสัยหมดไปได้อย่างไร ในโลกแห่ง reality ที่พัวพันเกี่ยวข้องกันไปหมดอยากแยกออกได้ยาก

ช่วงนี้อ่านหนังสือเรื่อง Citizen Designer สนุกดี เล่าเกี่ยวกับการเป็นนักออกแบบและเป็นพลเมืองที่ดี หลังๆมานี้เห็นคนใช้คำว่า design thinking เยอะมาก เราไม่อยากให้มันเป็นแค่ hype word ที่พูดๆ ให้ดูเหมือนมี process ดูทันโลกเฉยๆ มันมีประโยชน์จริงๆ

เราเพิ่งไป Workshop: Design Thinking สำหรับนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชนโดย Amnesty เนื่องจากอยากเห็นคนสายอื่นๆ ปฏิสัมพันธ์กับวิธีคิดแบบอาชีพเรา แล้วก็พบว่าคนอื่นได้เปลี่ยนมุมมองและออกจากกระบวนเดิมๆ

นี่แหละคือฟังก์ชั่นของอาชีพเราที่ไป intergrate กับสาขาอื่นๆ การออกแบบต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นอยู่เสมอ

อยากจะสร้าง impact เราแค่เริ่มคุยกับคนรอบตัวก็ได้ ไม่ต้องเปลี่ยนโลกใบใหญ่อันซับซ้อนระดับมหภาคก็ได้ แค่ทำให้คนรอบตัวไม่อยากฆ่าตัวตาย ไม่หมดไฟ ไม่สิ้นหวัง เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ก็อาจเพียงพอแล้ว

แต่ถ้าอยากสร้าง impact จริงๆ นั้นมีเรื่องของคณิตศาสตร์ สถิติ และสเกลมาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราอยู่คนเดียวที่บ้านไม่ได้ เลยต้องออกจากบ้านพบชาวโลก ไปทำงานแล้ว บายยย

เรียงความยามเช้าอันสดใส ☀️