2010
- เรียนจบปี 1 ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองโง่มากๆ การเรียนออกแบบไม่เหมือนระบบการศึกษาที่เรียนมาตลอดชีวิต ท้าทายมากๆ เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าแค่เรารู้ว่าระบบ/การสอบต้องการอะไร เราก็ทำไปตาม Requirement เพื่อให้ผ่านด่านไปเรื่อยๆ แต่ Creative & Design Process มันยาก ยุ่งเหยิงกว่านั้น ไปๆ มาๆ
- ฝึกงานที่ a day magazine ตอนนั้นเราเด็กมากจริงๆ พี่คนอื่นที่มาฝึกงานด้วยกันเหมือนผ่านชีวิตมหาลัยมาเยอะแล้ว ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังเด็กมาก ไม่รู้อะไรเลย และเราไม่ถนัดงานสัมภาษณ์เลย แต่ทำให้ได้รู้ว่าเราชอบรีเสิชมากๆ
2011
- เริ่มแยกเข้าภาคเรียนออกแบบอุตสาหกรรม ซึ่งท้าทายเราที่เป็นมนุษย์สองมิติมากๆ ทำให้ได้เข้าใจความงาม ความยาก วิธีคิดที่หลากหลายมากๆ เช่นเซรามิกทำให้เราใจเย็น ทุกอย่างใหม่มากสำหรับเรา แต่สนุกมากเช่นกัน
- ตอนนั้นตบตีกับตัวเองมาก ตอนนั้นที่คณะความมินิมัลมันมาแรงมากส่วนตัวเราชอบของสีสันสดใส และไม่รู้ทิศทางว่าตัวเองอยากทำอะไร
- ไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อน จำได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันเรื่อง 112 คืออะไร
2012
- อยู่หอเป็นปีแรก ตั้งแถวหัวลำโพง-เจริญกรุง เป็นย่านที่คึกคักดี แล้วก็พบว่าเราชอบอยู่บ้านมากๆ เลย และเราไม่เคยฟิตอินกับชีวิตในกรุงเทพเลย
- ปีนี้เรื่อง sharing economy กำลังมามากในเมืองนอก เราอยากออกจาก bubble นักออกแบบ เลยสมัคร couchsurfing ให้นักท่องเที่ยวมานอนที่หอเราได้เจอเพื่อนต่างชาติเยอะมาก ได้ฝึกภาษาอังกฤษ ได้สำรวจโลกแบบไม่ต้องไปเอง ได้หลายแนวคิดจากช่วงนั้นมาก เช่น สังคมนิยม อาสาสมัคร NGO หรือกระทั่งอาชีพที่สามารถทำให้เรา flexible เวลาได้ เช่นโปรแกรมเมอร์ โลกมันหลากหลายมากๆ
- เพื่อนบางคนก็ยังติดต่อกันอยู่ นี่คือประโยชน์ของเทคโนโลยีจริงๆ
2013
- ไปฝึกงานครั้งที่ 2 ที่มาเลเซีย ทำงานกับคนจีน เปิดโลกมากๆ ได้เจอเพื่อนที่เหมือนจะใกล้กัน (มาจากภูมิภาคเดียวกัน) แต่ก็ต่างกันในดีเทล ไปคาราโอเกะยันเช้า ทำให้แยกจีนกวางตุ้งกับแมนดารีนออก
- มีเพื่อนมาแลกเปลี่ยนจากเมลเบิร์นที่คณะ ซึ่งเปิดโลกมากๆ ได้เล่าเรื่องประเทศไทย สถานการณ์การเมืองให้คนนอกฟัง ชอบ vibe ของ house party มากๆ ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่ แต่ชีวิตก็ต่างไปมาก
- เป็นปีที่รื่นเริงร่าปาร์ตี้มากๆ สามารถไปปาร์ตี้โดยที่ไม่รู้จักใครเลย ไปบ้าน expat คุยกันเรื่องงานใดใด เจอคนเยอะมาก นั่งคุยกันถึงเช้าได้ โมเมนต์แบบนั้นมันเกิดยากมากแล้วในตอนนี้ เจอเพื่อนก็พอ เที่ยงคืนก็ง่วงละ
2014
- ฝึกงานพาร์ทไทม์ที่พื้นที่ชีวิต สิ่งที่ต้องทำคือช่วยอ่านหนังสือเพื่อใช้ในสารคดีเพื่อสรุป และก็ไปฟังพี่ๆ คุยกันตอนเตรียมกองถ่าย สนุกดี พบว่าตัวเองชอบ research มากๆ โยนข้อมูลมา ฉันจะจัดระเบียบเรียบเรียงให้
- ทำทีสิสเรื่องความตายหรือมรณานุสติ สนุกมากเลย ได้เข้าไปสำรวจความตายในแบบที่เรายังไม่เศร้า เป็นช่วงชีวิตที่สนุกมาก
- ตอนเรียนจบมีคนชวนทำงานเยอะมาก มีทุกแนวทางโฆษณา เพื่อสังคม กราฟิกสองที่ จนต้องทำตาราง excel ขึ้นมาว่าเราต้องการอะไรในชีวิตกันแน่
- เลือกทำงานที่ฟังใจ ตอนนั้น tech startup ยังไม่มี ขอลองหน่อย เริ่มตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีชื่อเลย ปีแรกลุ่มๆ ดอนๆ ต้องทำมันทุกอย่างเลย มันเล็กจนต้องทำทุกอย่าง และทำให้ได้รู้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พี่ท้อปคือเจ้านายที่ใจกว้างและรับฟังมากๆ เหนื่อยกว่าเราเสมอ และก็ตามใจเรามากๆ ด้วย ขอบคุณมากจริงๆ อยู่ด้วยกันยาวเลย
2015
- ทำงานปีที่ 2 ฟังใจเริ่มเติบโตและขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แตกสาขา เราเริ่มมีน้องในทีมที่ต้องดูแล ซึ่งเราก็ห่วยมากเรื่องจัดการคน ทำให้หมกมุ่นกับการอ่านหนังสือเรื่องการจัดการ
- เริ่มเรียน UI/UX และรู้จักโค้ด HTML CSS คร่าวๆ ซึ่งเปลี่ยนโครงการการคิดภาพของเราเลย
- ไปเวิร์คชอปที่ Fabrica อิตาลี 2 สัปดาห์ ได้เจอเพื่อนนักออกแบบจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่คือยุโรป สนุกดี เหมือนแค่ลองไปเพื่ออยากรู้จะเรียนต่อได้ไหมนะ
- กลับมา ยายตาย แบบตายไม่กี่ชม. หลังจากเราลงจากเครื่องเลย ไม่มีใครบอกเราเลยขณะที่เราไปอิตาลีเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจอความตายของคนที่ใกล้ชิดมากๆ เราร้องไห้อยู่สองวัน เพราะทำให้เรารู้ว่าเชี่ยที่ผ่านมาเราคิดแต่เรื่องของตัวเอง ทุกคนแม่งหมุนตามเรา เหมือนชีวิตเราเข้า phase ใหม่เลย
2016
- ไปเที่ยวเบอร์ลินและเมืองอื่นๆ ซึ่งชอบมาก อยากไปอีก มีโมเมนต์นึงอยู่ในผับแล้วคนเดินมาพูดกับเราว่า “ขอให้คุณมีชีวิตที่ดี” หรืออะไรประมาณนั้น เออชีวิตมันสวยงามจริงๆ
- ได้ทำงานร่วมกับ Dev เป็นครั้งแรก ซึ่งเปลี่ยนวิธีคิดการทำงานของเราเลย ได้เข้าใจความสำคัญของการสื่อสารในทีม ได้เรียนโค้ดเล็กๆ น้อยๆ ไว้สื่อสาร
- ปีนั้นคิดไรไม่ออก พอกลับไปดูรูปก็พบว่าเจอเพื่อนเยอะมาก เป็นปีที่ดีปีนึง
2017
- เริ่มเขียนให้ The Matter คอลัมน์ Curious Cat ซึ่งขอบพระคุณมากๆ เลยเป็นปีที่ได้อ่านหนังสือเยอะมากๆ ความไวของอินเตอร์เน็ตทำให้ตกใจว่าเฮ้ยเราเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วเหรอ ลืม ความรู้เข้ามาไวก็ออกไปไว
- เป็นปีที่ได้มาดูแลทีมคอนเทนต์ร่วมกับพี่หนุ่ม พอต้อง manage จริงจัง เราแทบไม่ได้ทำงานออกแบบเลย เป็นปีต้องอยู่ในพลวัตของ facebook pace ติดตามว่าชาวบ้านชอบอะไร สนใจอะไร คิดแผนมาล่าไลก์ ล่าแชร์ ล่า engagement นั่งดู stats
- พบว่าเราชอบทำสไลด์มาก สรุปเรื่องที่ค้นพบให้ไล่เรียงเป็นเรื่อง
2018
- เริ่มเขียนให้ a day คอลัมน์ In Other Word ส่องสำรวจคำใหม่ๆ ในโลกที่หมุนไว format จากนิตยสารสู่ออนไลน์
- ปีนั้นได้ลองทำอะไรเยอะมาก และก็ได้เรียนรู้ว่าเออเรายังไม่พร้อมจะโตและจัดการทีม มีอะไรที่ไม่รู้อีกมาก เราอยากฝึกฝีมือ อยากทำนู่นทำนี่มากมาย เป็นช่วงที่วุ่นวายใจมาก ฟังใจเป็นที่ทำงานที่เรารักและสบายใจมาก แต่เรารู้สึกว่าเราสบายเกินไป
- ออกจากฟังใจทำงานประจำ ออกมาทำ 2 วัน/สัปดาห์ ทำเพจ slice เป็นงานสุดท้าย
- ทำงานที่ Salmon Lab เป็น Art Director เข้า 2 วัน/สัปดาห์ เป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก ได้เริ่มงานที่เจอลูกค้า
- พบว่าชอบจังที่เราโตขึ้นและสบายใจที่จะเป็นตัวเองมากๆ
- ตอนที่ออกจากฟังใจคืออยากไปเรียนต่อมาก แต่คิดไม่ตกว่าเรียนอะไรดี แต่ก็ไม่รีบมาก ทำงานไปก็เพลินๆ ดี
2019
- ปีนี้เป็นที่สบายกายใจมาก เราตั้งใจว่าจะทำงานไม่เยอะ จะไม่เหนื่อย ปีนี้เลยเล่นเฟสบุคน้อยลงมากๆ ไม่ต้องตามโลกโซเชียล ไม่ต้องคอยสนใจชีวิตจิตใจวัยรุ่นเพื่อใช้ทำงานอีกต่อไป เราไม่อยากทำของสั้นๆ เล็กๆ ที่หายไปรวดเร็วอีกแล้ว
- เพื่อนชวนไปเที่ยวปีนเขา และเราก็ห่วยมากเมื่อเผชิญธรรมชาติที่อ่านไม่ออก ไม่เข้าใจ ทำให้เราได้พบความงามใหม่ที่เคยไม่เข้าใจมาก่อน เออมนุษย์มันตัวเล็กและอยู่บนโลกนี้มาไม่นานขนาดนั้น ทำให้อยากเรียนธรณีวิทยาเป็นงานอดิเรก (ซึ่งไม่ถึงไหนเลย) ฝนหินก็ยังไม่สำเร็จ เราคือผลผลิตโลกของ late capitalism จริงๆ 55
- เริ่มทำงานที่ Punch Up เป็น Creative & Art Director 3 วัน/สัปดาห์ ได้กลับมาทำ web design / art director ชอบมากเพราะเราเราได้หยิบสิ่งที่อ่านและสิ่งที่สนใจมาใช้จริงๆ เราชอบเรียนวิทยาศาสตร์มากมาตั้งแต่เด็ก ได้เข้าใจระบบโครงสร้างการเมืองมากขึ้น รวมถึงความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุข
- ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่อ่านมาได้นำไปเล่าต่อในรูปแบบที่ง่ายขึ้น นี่คือสารัตถะที่เราชอบที่สุดของงาน เราชอบย่อยข้อมูลมากๆ
- ขอบคุณทุกคนที่ชวนทำงาน freelance ทุกชิ้น ซึ่งเป็นชีวิตอีกแบบเลย เราโชคดีมากๆ ได้เจอแต่ลูกค้าดีๆ มีสติ และฟังเรา และเราก็ได้เรียนรู้จากโลกของเขาเยอะมาก
- ปีนี้ขยับขยายความสนใจให้กว้างและลึกขึ้น ไม่ต้องรีบอ่านรีบเขียนรีบแชร์อีกต่อไป
- เขียนหนังสืออยู่เล่มนึงด้วยเป็นรวมเรียงความโดยสารัตถะคือบอกเขียนเพื่อ convince ตัวเองว่าไม่ต้องรีบร้อน
- อยากเขียน fiction แต่ยังไม่สำเร็จ ขอโทษพี่กายด้วย ปีหน้าพร้อมละ 🙂
- พอเจอเพื่อนเลยนึกไม่ออกว่าเล่าไรดี ชีวิตเรานิ่งมากๆ ทำงาน เรื่องที่พบเจอก็ไม่รู้สึกว่าต้องบอกใคร