ช่วงยุค 90s ช่วงหลังสงครามเย็น ยูโกสลาเวียได้แตกสลายลงไปเกิดเป็นดินแดนต่างๆหลายประเทศ เกิดเขตความขัดแย้ง, นำไปสู่สงครามกลางเมือง ส่งผลให้มีคนจำนวนมากต้องอพยพและแยกย้าย นำมาสู่ชีวิตใหม่ที่อาจไม่ได้สดใส เต็มไปด้วยความระทมทุกข์ของการจากบ้านเกิดเมืองนอน หนังสือนี้เล่าความรู้สึกของการเป็นผู้อพยพ และลูกใน Generation ถัดมา ในความรู้สึกของการกลายเป็นคนแปลกหน้าของทั้งดินแดนใหม่ และความสนิทชิดเชื้อกับดินแดนแม่ก็เจือจางลงไป
Pajtim Statovci ผู้เขียน เป็นลูกของผู้อพยพชาว Kosovo เขาพาเราเข้าไปสำรวจจิตใจของคนที่อพยพ คนที่ต้องมาเริ่มใหม่ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หวาดระแวง ชีวิตผู้อพยพยพไม่ง่ายเลย หลายคนต้องพบความผิดหวัง การถูกเหยียด การไม่ได้รับโอกาส แต่ต้องอดทนเพราะต้องเอาชีวิตรอด เขาพาไปสำรวจจิตใจของคนที่อยู่ในสภาวะชีวิตทื่ไม่มีตัวเลือกมากนัก ต้องเลือกว่าจะสู้อย่างเสี่ยงตาย หรือจะหนีไป ความหวังว่าลูกจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเรา ได้รู้ในสิ่งที่เราไม่เคยเรียน กระทั่งความรู้สึกแตกหักใน identity ที่หวงแหน การเริ่มต้นชีวิตใหม่ การคิดถึงประเทศบ้านเกิดที่ผูกพัน การต้องแยกจากชุมชนและกลุ่มคนที่คุ้นเคย ความเหงา การกลายมาเป็นคนแปลกหน้าและส่วนเกินของสังคมใหม่ ตัวละครค่อยๆ ต้องเรียนรู้และค่อยๆ ปรับตัว ยินดีกับโอกาสและสวัสดิการ ขอบคุณที่ยังมีชีวิต และบางคนก็ไม่สามารถจะทนไหว ไม่ฟิตอิน ยังรักในดินแดนบ้านเกิดจนต้องโยกย้ายกลับไป

นวนิยายเรื่องนี้เเล่าผ่านประสบการณ์ของผู้อพยพคนละ Generaration 2 รุ่นที่เล่าแยกออกจากกัน สลับบทไปเรื่อยๆ หนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นผลกระทบของสงครามที่เปลี่ยนชะตาชีวิตครอบครัวหนึ่งไปตลอดกาล Narrator สองคนคือ แม่-ลูกที่ห่างเหินและมีชุดประสบการณ์คนละแบบ
- Emine หญิงสาวชาวจากเทือกเขา Kosovo ผู้ระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอก อยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความสุขซึ่งอพยพหนีสงครามในคาบสมุทรบอลข่านมาอยู่ประเทศฟินแลนด์ เธอผู้ที่มาจากดินแดนต่างถิ่น รู้สึกเหงาและเดียวดายจากความสัมพันธ์ครอบครัวที่แห้งแล้งซังกะตาย ย้ายมาอยู่ดินแดนที่เธอไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ เป็นเพียงผู้อาศัยที่หนีตายมาเท่านั้น ลูกๆ ที่เติบโตขึ้นในวัฒนธรรมที่แตกต่าง และความสัมพันธ์กับดินแดนบ้านเกิดค่อยจางลงไป พี่น้องที่ระหกระเหินไปต่างที่ ต่างถิ่น คนละมุมโลก ก็ค่อยๆ จางลงไปเรื่อยๆ เธอกลายเป็นประชากรใหม่ของประเทศใหม่
- Bekim เกย์หนุ่มน้อยขี้เหงา บุตรผู้อพยพชาวมุสลิม จาก Kosovo เขารู้ตัวว่าตนเองเป็นคนนอกในสังคม เขาเลี้ยงงูเหลือม ได้พบกับ The Cat ชายหนุ่มฟินแลนด์ผู้หัวเป็นแมว ทั้งคู่พบกันในบาร์เกย์ พาเขาย้ายมาอาศัยอยู่ร่วมห้องเพื่อพบว่า แมวกลายเป็นคนรักที่ Abusive The Cat เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด ความสัมพันธ์ค่อยๆ แย่จนถึงจุดแตกหัก ชีวิตที่เต็มไปด้วย Insecurities จนเกิดการพบรักใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เขาเองก็ไม่มั่นใจ
ทั้ง Emine และ Bekim ต้องพบกับการถูกข่มเหงในความสัมพันธ์ ผิดหวังในความรัก การถูกเหยียดและรังแกจากเพียงเพราะหน้าตาผิวพันธุ์ต่างจากคนอื่น
ตัวละครเล่าถึงการอยู่ในความสัมพันธ์ Abusive & Toxic Relationship ได้อย่างหน้าตาเฉย การถูกละเมิด ถูกแสวงหาประโยชน์ ถูกเอาเปรียบ การถูกด้อยค่า แต่ตัวละครก็ก้มหน้ารับความเรื่องแย่ๆ เสมือนว่า this is how it works โลกมันต้องเป็นเช่นนั้นเอง ความรู้สึกหวาดกลัว ความเจ็บช้ำของการยอมแพ้และหนีตายมาในประเทศที่อาจมีสวัสดิการที่ดี แต่กลับไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านที่แท้จริง
Emine
Emine เธอค่อยๆ เล่าประสบการณ์ชีวิตการเป็นวัยรุ่นสาวในชนบท เข้าพิธีแต่งงานคลุมถุงชนตามประเพณีกับชายหนุ่มที่เห็นหน้าเพียงครั้งเดียว ซึ่งเธอแทบไม่รู้จักนิสัยใจคอ ก่อนแต่งงาน Emine แสนกังวลใจว่าเธอจะเป็นภรรยาที่ไม่พร้อม ไม่ดีพอ ไม่สามารถมอบความสุขหรือบุตรให้กับสามีได้
ตั้งแต่คืนแรกของวันแต่งงาน เธอพบว่าสามีเป็นคนรุนแรงทางร่างกายและวาจา ขี้โมโห ในความผิดหวัง เธอทำได้แค่ยอมรับ ทำหน้าที่ของการเป็นแม่และภรรยา เป็นแม่บ้านผู้รับฟัง โดยไม่เคยได้ยินคำขอบคุณจากสามีสักครั้ง ผู้ปฏิบัติกับภรรยาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ชนิดหนึ่ง ต้องไม่มีปากมีเสียงใดใด เพียงรับฟัง ทำงานบ้าน ให้ครอบครัวดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ไม่ขาด แม้ในยามยาก
“ในหลายปีที่ผ่านมา Bajram ไม่เคยพูดขอบคุณเลยสักครั้ง ทั้งที่เขามีโอกาสมากมายที่จะทำ เขาไม่ได้ขอบคุณฉันที่ผ้าขนหนูผืนโปรดของเขาจะถูกซักสะอาดและพร้อมใช้อยู่เสมอ ไม่เคยขอบคุณสักครั้งที่เขาไม่เคยเลยสักวันที่จะออกไปทำงานโดยไม่มีอาหารเช้า ไม่เคยสักครั้งทั้งที่รองเท้าของเขาจะมันวับเหมือนใหม่อยู่เสมอ และไม่เคยขอบคุณที่ลูกของพวกเราไม่เคยปลุกให้เขาต้องตื่นยามค่ำคืน ไม่เคยแม้ฉันจะไม่เคยจากเขาสักครั้งในยามที่เขาต้องการฉัน เพราะในชีวิตเขา ฉันจะอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่ทำร้ายจิตใจฉันได้มากกว่าที่เขาไม่เคยขอบคุณเลยสักครั้ง มันทำร้ายฉันยิ่งกว่างานทุกสิ่งที่ฉันต้องทำ ยิ่งการการตีพรมให้สะอาดซ้ำไปซ้ำมา การล้างพื้น ขัดผนัง ปัดฝุ่นบนชั้น หรือการเตรียมอาหาร”
ช่วงปี 90s เกิดสงครามกลางเมืองในเขต Kosovo จนสามีพาเธอและลูกหนีอพยพไปอยู่ประเทศเมืองหนาวที่เธอไม่รู้จักมาก่อน เธอต้องปรับตัว ย้ายไปอยู่ในห้องอพาร์ทเมนต์แคบๆ ที่อับแสง ในดินแดนที่หนาว แห้งแล้ง แต่ปลอดภัย ทุกวัน เธอรอเวลาอย่างเชื่องช้า ขณะที่สามีออกไปทำงานนอกบ้าน เธอก็ทำหน้าที่ภรรยาให้ไม่ขาดพร่อง เธอตามข่าวความรุนแรงในบ้านเกิดเมืองนอนอย่างใจจดจ่อ ลูกๆ ค่อยๆ เติบโตมาโดยเกลียดพ่อ และห่างเหินกับเธอ เธอส่งลูกๆ เข้าระบบการศึกษาของฟินแลนด์ พวกเขาค่อยๆ ไกลห่างจากเธอที่เติบโตมาคนละวัฒนธรรม ลูกๆ ที่ถูกหล่อหลอมในวัฒนธรรมใหม่ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่เข้าใจ แต่เธอก็ยอมรับให้มันเป็นเช่นนั้นเอง
“หมอ ทนาย ซีอีโอบริษัทใหญ่ นายธนาคาร อะไรก็ได้ มันรู้สึกมหัศจรรย์ที่จะถูกชมเชย การได้เป็นแม่คนในเวลาเช่นนี้ ลูกของฉันจะได้กลับเป็นอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าฉัน เขาจะได้รู้ในสิ่งที่ฉันไม่เคยเรียน และบางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่คนถึงได้อยากเป็นพ่อแม่ ฉันบีบมือเขาแน่นเพราะฉันกำลังรู้สึกเหมือนกำลังจมหายไปในทางเดินสีเทาอันไม่มีที่สิ้นสุด”
คืนหนึ่ง เมื่อเหลือแค่ตัวเธอกับสามี เพราะลูกๆ ค่อยๆ เติบโต ย้ายหนีออกไปจากบ้านหมดแล้ว ตัวเขาอยากย้ายกลับไปบ้านเกิดที่เขาอาวรณ์และคิด ส่วนเธอกลับไม่อยากและรู้สึกว่าที่ผ่านชีวิตไม่เคยได้เลือกอะไรเพื่อตัวเองเลย คืนนั้นเธอเลือกหนีออกมาบ้าน ตัดขาดความสัมพันธ์ และออกจากชีวิตคู่ที่เธอไม่เคยมีความสุข และเธอไม่เคยได้เลือกชะตากรรมแต่แรก
” ถึงจุดใดจุดหนึ่ง ทุกคนควรได้สัมผัสประสบการณ์ว่ามันรู้สึกอย่างไรเหมือนเราหมดหนทางสิ้นทางเลือก นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ คุณคิดว่าคุณกำลังจะบ้าคลี่งเสียสติลงไปแล้ว เพื่อที่ตอนนี้ฉันจะได้รู้แล้วว่า ตอนนั้นมันไม่ได้อันตรายอะไรเลยสักนิดเดียว เมื่อฉันได้รับจดหมายจาก Bajram ฉันนั่งลงบนโต๊ะในครัว เพราะฉันกลัวจะเสียสติไปกับเนื้อหาในจดหมายนั้น ..”
Bajram
Bajram สามีของ Emine ผู้ตัดสินใจพาครอบครัวย้ายอพยพมาในประเทศที่ตนเองไม่รู้จักเพราะสงครามกลางเมือง
Bajram ในวัยหนุ่มเคยภูมิใจ มีฐานะ เป็นคนชั้นสูงของประเทศ เป็นข้าราชการที่มีเกียรติยศ บัดนี้กลายเป็นประชาชนชั้นสองที่อมทุกข์ที่หนีตาย ยากจน และสับสนในดินแดนใหม่ที่เข้ามาอยู่ เขาคือตัวละครที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ล้มเหลว ต่อให้หางานได้แต่เขาก็เลือกที่จะทำลายโอกาสตัวเองเพราะยังยึดติดกับค่านิยมของบ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง เขาทุกข์ทนกับถิ่นฐานใหม่ เกลายเป็นประชากรที่มีปัญหาและขมขื่น พยายามจะเอาคืนประเทศที่เขาย้ายเข้ามาอยู่อาศัย
เขายังยึดติด หวงแหน ไม่ยอมปล่อยวางจากความเชื่อที่หล่อหลอมเขามาจากอีกดินแดนบ้านเกิด เขาหนักแน่ในตัวตนการเป็นมุสลิม คบหาแต่ชาวอัลเบเนียนด้วยกัน ต่อให้มีงานที่ดีในดินแดนใหม่ เขาก็ยังไม่พอใจ เขาพยายามคิดถึงวีรชนที่ตายไปในสงครามในขณะที่เขายังได้มีชีวิตอยู่
เขาไม่เคยรู้สึก fit in กับถิ่นใหม่ที่ย้ายไปอยู่ Bajram มีแต่ความรู้สึกโกรธแค้นขุ่นเคืองในโชคชะตา ในดินแดนนี้ ลูกๆ ที่ไม่เคารพเขาแถมยังขยาดหวาดกลัว ลูกได้รับเอาค่านิยมของดินแดนใหม่ที่จะไม่ยอมถูกข่มเหงจากผู้ปกครอง
Bajram ได้แต่คิดว่าพวกเขาเคยมีความหวัง มีหน้าที่การงานฐานะที่ดีในบ้านเกิดเมืองนอน แต่เมื่อบ้านของเขาถูกทำลายลง เมืองที่อยู่ไม่ปลอดภัย มีคนถูกฆ่าตายบนท้องถนน ทรัพย์สินที่สั่งสมมาได้สูญสลายไปหมด สุดท้าย Bajram ที่ไม่เหลือใครในชีวิต ก็ได้เลือกที่จะกลับมาบ้านเกิดเมืองนอน โอบกอดซากปรักหักพัง และตรอมใจตายจากไปเงียบๆ
Bekim
Bekim คือลูกชายของครอบครัวอพยพชาวมุสลิมที่โดดเดี่ยว เขาเป็นเกย์ มีหน้าตาที่แตกต่างจากเด็กคนอื่น ไม่สามารถเชื่อมต่อกับวัฒนธรรมของพ่อแม่เขาได้เลย เมื่อได้กลับไปเยี่ยมญาติหลังสงครามสิ้นสุด เขาไม่อาจเลือกกลับไปอยู่ที่ถิ่นเกิดของตัวเองได้ เพราะได้กลายเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ ได้รับการศึกษาอีกแบบ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาจึงต้องหมกมุ่นกับชีวิตหลังความตาย และระทมทุกข์กับเศษซากของบ้านเกิดที่จากมา
Bekim เกลียดพ่อเข้าไส้ และเรื่องราวพ่อและครอบครัวที่เล่านั้นก็เป็นเพียง Fragmenrt จากความทรงจำของเขาเท่านั้น มีแต่มวลอารมณ์ของความขุ่นเคืองอดีต การแสวงหาความรัก และความไม่มั่นใจในร่างกายของตัวเอง ส่วนแม่ก็ไม่เคยพูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบและยอมรับชะตากรรมในฐานะผู้เอาชีวิตรอด จนเขาเติบโตและย้ายหนีออกจากบ้าน บนฝาผนัง ไม่มีแม้กระทั้งภาพรวมครอบครัวแขวนไม่มีห้องส่วนตัว มีแต่ความทุกข์และความเงียบงัน ไม่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนเชื่อมต่อกัน เพียงแค่อาศัยร่วมกันจนถึงเวลาแยกย้ายตามวัย
” Sometimes I miss him, his voice and sometimes I barely remember what he looked like. Then I have to pull the photograph out of the drawer in the hallway, and each time I take them out I refuse to look at them. I only glance at them because I don’t want to see him after all. “
เขามีชีวิตวัยเด็กที่แสนยากจนในครอบครัวอพยพที่น่าหดหู่ พอเลิกเรียน เขาไม่อยากกลับบ้านจากโรงเรียน ไม่อยากให้พ่อแม่ไปโรงเรียนเพราะกลัวคนอื่นรู้ว่าพูดภาษาฟินได้กระท่อนกระแท่น Bekim มี trauma มากมายในชีวิต พอวันหนึ่งเจอกับคนรักที่ดี คนรักที่ใส่ใจ หรือความสัมพันธ์ที่ดี ก็คอยกังวลคิดเสมอว่าสิ่งนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ
ทุกครั้งที่ Bekim แสวงหาความรักครั้งใหม่ เขาภาวนาให้คนใหม่ที่เข้ามาในชีวิต เมื่อมองหน้าสารรูปเขาแล้วไม่สอบถามว่าเขามาจากไหน เชื้อชาติอะไร มีชีวิตวัยเด็กที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีครอบครัวแบบไหน เขาเลือกจะโกหกเป็นนิสัย เพราะไม่อยากให้ใครรู้ความจริงถึงถิ่นกำเนิดและที่มารากเหง้า
The Cat
The Cat คือชายหนุ่มชาวฟินแลนด์ผู้เป็นคนรักของ Bekim ในความสัมพันธ์ เขาเอาเปรียบ Bekim อย่างถึงที่สุด เอาเปรียบและพูดจาข่มเหงตลอดเวลา เขาเย้ยหยันว่าชื่อต่างชาติของคนรักนั้นฟังประหลาดไม่คุ้นหู The Cat อยากเข้าเรียนทำหนังในมหาวิทยาลัย Bekim เลยสมัครด้วยแล้วก็ได้ตอบรับ The Cat แค้นเคืองว่ามหาลัยคงตอบรับแค่เพราะว่าเป็นลูกคนอพยพมาน่ะสิ
The Cat เกลียดผู้อพยพเข้าไส้เพราะพวกเขาได้รับโอกาสมากเกินไป และเขาก็เกลียดพวกรักร่วมเพศ (แต่ไม่มีสาเหตุว่าทำไมไปเจอเขาที่บาร์เกย์) แต่ Bekim ก็กลับยังพยายามรักษาความสัมพันธ์ต่อไป
“เมื่อไหร่ที่พวกอพยพจะเลิกเอาเปรียบระบบสวัสดิการ ขี้เกียจ และล่วงละเมิดผู้หญิง ใช่สิ ทุกคนไม่ได้เป็นเหมือนกันหมด เช่นเธอไง เธอคือข้อยกเว้น เธอคือผู้อพยพที่พวกเรายินดีรับเข้ามา แต่พวกเขาส่วนใหญ่สิ ….”
Yugoslavia
ก่อนอ่านคือเราสารภาพว่า ไม่รู้ว่ายูโกสวาเวียคืออยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ มันคือประเทศที่ได้แตกสลายไปแล้ว เราไม่รู้จักหน้าตา วัฒนธรรม ภาษาเป็นอย่างไร คืออ่านแล้วก็ต้องไปดูสารคดีว่าคาบสมุทรบอลข่าน ยูโกสลาเวียนมันเป็นยังไง คนหน้าตาแบบไหน เราชอบที่มัน go through ชีวิตคนๆ นึงที่ถูกผลกระทบจากสงครามจนชีวิตเปลี่ยนไปตลอดกาล ต่อให้เป็นสงครามกลางเมืองที่เราไม่รู้จัก
นิยายนี้เป็นนิยายแรกของผู้เขียน ซึ่งเราชอบความดิบ ความสด เนื้อหาสำนวนอาจจะไม่ได้ refine หรือแยบคายมาก หนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายที่แปลมาจากภาษาฟินแลนด์ผู้เขียนเป็นลูกผู้อพยพชาวโคโซโวบนคาบสมุทรบอลข่าน
มันเจ็บปวดที่จะคิดว่าคงมีผู้คนที่รู้สึกแบบนี้อีกเยอะมากๆ คนที่ต้องจากบ้าน หนีตาย และไปเริ่มใหม่อย่างลำบาก เพราะโลกมีความขัดแย้ง ความรุนแรง สงครามกลางเมืองอยู่ในหลายๆ ดินแดนที่ยังดำเนินอยุ่ การลี้ภัยไม่ใช่เรื่องสนุก เต็มไปด้วยความยาก ความเจ็บปวด และมันส่งต่อมายังรุ่นต่อๆ ไปดำเนินต่อไป