เพราะเราไม่อยากถูกจำกัดอยู่แค่ในจิตใจของเราเอง เราจึงต้องอ่านเรื่องราวชีวิตของคนอื่น ✍️ 97,196 WORDS: ESSAYS – Emmanuel Carrère

Review

📖 97,196 WORDS: ESSAYS– Emmanuel Carrère / แปลโดย John Lambert

อ่านจนจบในเวลาอันรวดเร็ว [คือเร็วแล้วเทียบกับเล่มอื่นที่ไม่ค่อยคืบ 555 กองๆ เอาไว้มากมาย] สารภาพว่าจำชื่อหนังสือและนักเขียนไม่ได้สักที จำผิดเป็น 97,316 ตลอด 😂

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือรวมเรียงความ ทั้งหมด 20 บท = 97,196 คำพอ ซึ่งถือว่ามาในเวลาที่ถูกต้องกับชีวิต

ช่วงชีวิตทศวรรษก่อนหน้านี้ เราอ่าน Non-Fiction เยอะมากๆ แต่ก็มักจะอ่านไม่จบ อ่านรีบๆ เพราะด้วยงานต้องทำงานเกี่ยวกับข้อมูล หรืออ่านแบบต้องเอาไปเขียน ฯลฯ บางทีก็อ่านแค่เอาเรื่อง ประเด็นน่าสนใจ อุ๊ย เรื่องนี้ใหม่ แต่มักไม่ได้รู้สึกประทับใจวิธีการเขียนอะไรขนาดนั้น

ดีใจมากๆ ที่เจอ Non-Fiction ที่ไม่ได้แห้งเหือดไร้จิตใจ วิธีเขียนเขาแซ่บมากจนงง เขียนเหมือนไปสิงร่างคนอื่นแล้วกลับมานั่งเขียน พอมันดีมาก ก็คือมาสิงเราต่อขณะอ่าน เราไม่ได้รู้สึกถึง Intimacy จากการเขียนมานานเหลือเกิน เลยอ่านจบต้องเขียนถึงเลย ❤️

Carrère [อ่านว่าอะไร กลัวตัว R ภาษาฝรั่งเศสมาก ไม่มีปัญญาออกเสียง 😂 ] เป็นนักเขียน non fiction ฝรั่งเศส ไปสำรวจชีวิตคนอื่นเอามาเขียนเล่าต่อ เขาไม่ใช่สายสัมภาษณ์แนวถอดคำมาตรงๆ แต่เขานำมนุษย์ที่ไปพบเจอมาเรียบเรียงใหม่เป็น essay / prose ขนาดยาว บางอันก็ออกมาเป็นแนว Report มีหลากวิธี ตั้งแต่ไปคุยเอง คุยหลายคน หรือเก็บข้อมูลคนในอดีต และเขียนในมุม First Person View จนเกือบเหมือนนิยายมากกว่าเรื่องจริง

Subject ของเ Carrère หลากหลายมาก และเขานำเสนอชีวิตของคนแตกต่างหลากหลายออกมาได้ Intimate เหลือเกิน เรารู้สึกว่าได้ชอปปิ้งความเป็นมนุษย์อันหลากหลายไปด้วย เหมือนได้ไปสัมผัสชีวิตคนอื่นทั้งที่นั่งอยู่บ้านเหงาๆ ตลอดเวลา 555 ตั้งแต่ฆาตกรยันประธานาธิบดีมาครง

👀 ตัวอย่างเรื่องราวจากทั้งหมด 20 บท ที่เขาไปสำรวจ Subject อันหลากหลาย

  • มิตรภาพ 18 ปี ระหว่างช่างภาพหญิงที่ตามถ่าย Subject คือหญิงสาวคนชายขอบ ยากจน HIV ผู้ติดยา ท้องไม่พร้อม ตัดสินใจพลาดซ้ำซ้อนเพราะจินตนาการถึงทางอื่นไม่ออก ชีวิตเธอค่อยๆ ร่วงโรยไป บ้านแสนรกไม่เป็นระเบียบ ลูกที่เธอไม่สามารถต่อสู้และรักษาสิทธิ์ผู้ปกครองไว้ได้ ชีวิตที่เต็มไปด้วยบาดแผล ความผิดพลาดซ้ำซากจนตายจากโลกนี้ไป ในโลกคงมีคนทุกข์ระทมไร้ทางออกแบบนี้มากมาย ดีใจที่มีคนเขียนเก็บไว้ คือบทนี้เราร้องไห้เลยจนถึงขั้นต้องบันทึกเก็บไว้ คือเราได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาในมุมสถิติ หรือการพาดหัวข่าวให้อนาถาน่าสงสาร Carrere พาเราไปสำรวจจิตใจและความสับสนของชีวิตๆ นึงที่หลงทาง เจ็บช้ำ โกรธแค้น และไม่หลุดพ้นจากวงจรความยากจน ปะปนกับยาเสพติด อ่านจบแล้วสงสัยว่าโลกมันยากขนาดนี้เลยเหรอ
    • จูลี่ไม่ยอมใช้เครื่องมือคุมกำเนิดรูปแบบใดๆ เธอรู้ว่ามันเป็นไปได้ที่จะทำแท้ง แต่มันก็เป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น เหมือนกับที่คุณก็รู้ว่าคนเราน่ะไปดวงจันทร๋ได้แล้วนะ … และในช่วงปี 1993-2008 เธอคลอดลูกออกมา 6 คน
    • Julie didn’t use any form of contraception. She knew it was possible to have an abortion, but in a purely theoretical way, the way you know it’s possible to go to the moon, and between 1993 and 2008 she gave birth to six children.
  • Luke Rhinehart นักเขียนหนังสือ The Dice Man เกี่ยวกับชายที่ทอยลูกเต๋าเสี่ยงทางเลือกชีวิต จนนำไปสู่ความรุนแรง จนเกิดเป็น Cult ขึ้นมา ซึ่งที่ชีวิตจริงแสนเรียบง่ายและธรรมดา มีเมีย มีลูก มีบ้านไร่ กับนิยายที่โหดดิบเถื่อนที่คอนทราสต์กับชีวิตจริงของนักเขียนโดยสิ้นเชิง
  • ประธานาธิบดีฝรั่งเศส มาครง ซึ่งผู้เขียนไปใช้ชีวิตอยู่ด้วย 2 สัปดาห์เต็ม บทนี้ก็เขียนออกมาได้เป็นมนุษย์มากๆ เขาคาดหวังว่ามาครงจะเป็น Cyborg ผู้นำวัยหนุ่มชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบ Background แบบอีลิต ผู้นำที่มีเสน่ห์จับใจที่รู้ว่าจะพูดอะไรให้คนฟังพึงใจ แต่เขากับพบว่า มาครง กลับจริงใจ อ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    • “… Not in the physical sense: I don’t have any listed phobias, but I’m claustrophobic about life. I can’t stand being shut in, I have to get out, that’s why I can’t have a normal life. Deep down, my flaw is no doubt that I don’t love normal life.”
    • มาครงบอกว่า ข้อเสียของเขาคือการกลัวที่แคบ แต่ไม่ใช่ที่แคบทางกายภาพ เขาเป็น claustrophobic ทางชีวิต “ผมไม่สามารถถูกปิดอยู่ข้างในได้ ผมต้องออกมาข้างนอก นั่นทำให้ผมไม่สามารถมีชีวิตปกติได้ ลึกลงไปข้อเสียของผมที่ไม่น่าแปลกใจเลยคือ ผมไม่รักชีวิตปกติธรรมดาทั่วไป” คืออ่านแล้วก็เลย อ๋อ เข้าใจคนที่ต้องเอาตัวเองออกไปสู่โลกตลอดเวลา เขาไม่สามารถ contain อยู่ในที่แคบของชีวิตปกติได้
  • Andras Toma คุณตาชาวฮังกาเรียน อดีตนักโทษสังคราม ผู้ป่วยจิตเวชที่โรงพยาบาลในรัสเซีย แท้จริงแค่ไม่มีใครพูดภาษาเขาได้เลยไม่มีใครพยายามเข้าใจเขา และถูกละเลยตลอด 50 ปี จนอายุล่วงเลย เขาได้กลับบ้านเกิดและได้พูดคุยกับคนภาษาเดียวกันเป็นครั้งแรก ชีวิตช่วงนั้นคือ void ที่หายไป
  • สำรวจเมือง Calais ซึ่งเมืองนี้ได้มีที่มุมหนึ่งได้มี The Jungle คือค่ายชั่วคราวของผู้อพยพ โดยได้ไปคุยกับคนในเมืองทั้งที่รังเกียจ และต้อนรับขาวตะวันออกกลางที่ถาโถมเข้ามาทางทะเล นักข่าวถาโถมเข้ามาทำข่าวเรื่องนี้กันแพร่หลาย
  • บทที่แซ่บมากคือเขาเขียนถึงคนรักหลายๆ คนในชึวิต เขาเองที่สารภาพว่าบางครั้งก็มีความต้องการเหมือนหนังโป๊ ในขณะที่คนรักต้องการความอีโรติก จากนั้นก็มา discuss กับตัวเองว่า Erotic กับ Porn ต่างกันยังไง ชอบมากชอบมากชอบมาก ยกตัวอย่าง –
    • เธอพูดเรื่องความปรารถนา แต่คุณไม่ เธอคุยเรื่องความปัจเจก ความแตกต่างไม่เหมือนใคร แต่คุณคุยเรื่องทั่วๆ ไป ทั้งหมดนี้มันทำให้เราต่างกันมาก ก็เหมือนความต่างระหว่าง Eroticism [ขึ้นกับประสบการณ์ การเลือกโดยอิสระ และประวัติศาสตร์ของเรือนร่างที่แตกต่างกัน] กับ Porngraphy [เป็นกลาง ไม่กล้าเลือก ใครก็ได้ สามารถแทนกันได้โดยไม่ต้องเฉพาะเจาะจง]
    • She talks about desire, you don’t. She talks about uniqueness and you talk about generalities, and that makes all the difference.
    • It’s like the difference between eroticism—which thrives on experience, free choice, and the entire history of the body—and pornography—which is neutral, afraid to choose, and subject to the authority of the interchangeable.
    • การหลุดออกจากความรัก คือชั่วขณะที่อีกใครสักคน เขาหมดเขารักคุณแล้ว และคุณก็รู้ว่ามันสิ้นหวัง มันเปลี่ยนไม่ได้ มันหยาบกระด้าง ไม่สะทกสะท้าน เมื่อคุณจะไม่กลายเป็นอะไรทั้งนั้น คุณไม่มีความสำคัญในสายตาของเขาอีกต่อไป หรือในสายตาของโลก หรือในสายตาของเพราะพระเจ้า หากคุณคือคนที่เชื่อในพระเจ้า มันเป็นความรู้สึกที่แย่ที่สุดแล้ว และบทบาทของคนที่เลิกรักแล้วก็ไม่ได้น่าอิจฉาไปกว่าคนที่ถูกเลิกรักเลย 🥺
    • Because falling out of love—the moment when the other person stops loving you and when you know that it’s hopeless, irrevocable, relentless, that you’re no longer anything at all, that you’re nothing in the person’s eyes, or in the eyes of the world, or even in the eyes of God, if you’re a believer—is the most terrible thing of all.
    • that the role of the person who no longer loves isn’t any more enviable than the role of the person who’s no longer loved.
  • Eduard Limonov กวี/นักเขียนชาวรัสเซียที่ข้อความไม่เป็นที่โปรดปรานของรัฐบาลรัสเซีย living in exile ที่นิวยอร์ก [บทนี้อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง คือบริบทรัสเซียมากกกก 555 ]
  • ชีวประวัติฆาตกรพ่อที่ฆ่าล้างครอบครัว Jean-Claude Romand เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ดูมีชีวิตสมบูรณ์แบบ แท้จริงเขาหลอกทุกคนในชีวิตและครอบครัวว่าเขาเป็นหมอมายาวนาน 18 ปี จนวันนึง เขาเก็บความลับไว้ไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจฆ่าทุกคนในครอบครัวทิ้ง ภรรยา ลูก พ่อ แม่ แทนที่จะบอกความจริง เขาจำชีวิตวันหลังการฆ่าไม่ได้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่ ดีเทลของการอัดอะไรก็ได้ในทีวีเพื่อลบภาพโฮมวีดีโอครอบครัวมันสยองเย็นมากๆๆๆ นึกภาพตามคืออิหยัง มนุษย์ช่างประหลาด
  • เด็กกำพร้าหนุ่มผู้ได้พยายามฆ่าแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง แต่เคราะห์ดีที่แม่ไม่ตาย หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้เขาก็กลับตัวได้ กลายเป็นผู้เป็นคน คลายปมในจิตใจ
  • เขียนถึงประสบการณ์เข้าพักในห้องโรงแรมหนึ่ง ขณะที่คนรักของเขาผู้กำลังใจตุ้มต่อมว่าพี่สาวของเธอจะจากไปด้วยมะเร็งระยะสุดท้ายตอนไหน

เพราะเราติดกับอยู่แค่ในร่างกายของเรา เราเลยอยากสัมผัสเข้าไปสิงร่างคนอื่นชั่วขณะ

วิธีเขียนเรียงความของ Carrère น่าสนใจมากๆ คือเขาเอาชีวิตคนที่เขาไปสืบ ไปคุย ไปศึกษามาเรียบเรียงใหม่จนมันกลายเป็นเรียงความ personal มากๆ เป็นส่วนตัว เหมือนแอบเข้าไปในจิตใจของคนอื่น คือเหมือนให้แม่งไปสิงร่างเขามาเขียน 555 จนบางทีรู้สึกว่านี่มัน bias อย่างถึงที่สุด แต่ฮีไม่แคร์ คือกล้าได้กล้าเสีย เขาแม่งถือวิสาสะชิบหาย เขียนแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ แต่รู้สึกเปิดประตูสู่โลกใหม่

แต่ผลลัพธ์ของวิธีการนี้คือทำให้เห็นความไม่สมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์ ทั้งด้านที่คนเราเข้าข้างตัวเอง มีอคติ มีการกระทำที่ไม่อาจอธิบายไม่ได้ว่าทำไปทำไมแต่เกิดขึ้นแล้ว และเราต้องดำเนินไปกับ consequence การตัดสินใจของมนุษย์มักไม่ได้มีที่มาที่ไป เมื่อทำไปก็ บางทีก็ความรู้สึกผิดบาป ไม่เข้าใจตัวเอง มันเร้าใจที่จะอ่านมากๆๆๆ เหมือนเข้าไปนั่งในใจแล้วเขียนออกมา แต่มันก็ไม่ได้ดราม่าเรียกน้ำตา เรียกความสงสารแบบเลี่ยน เราแพ้การเขียนแบบนี้มากๆๆๆๆ ไม่ต้องบิวด์ ถ้าเนื้อหามันสะเทือนกูร้องเองได้ 55555

Carrère ทำให้เราเห็นใจหรือแอบได้เข้าไปนั่งในใจคนที่เราเคยไม่เข้าใจ เข้าไปในชีวิตคนธรรมดา หรือบุคคลสำคัญ สัมผัสความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้ชัดเจน มั่นใจ ทำทุกอย่างอธิบายได้อย่างหมดจด นึกถึง Nabokov ที่แม่งสามารถ manipulate จนเราเข้าออกเข้าใจ Pedophile ซึ่งเก่งมากกกกก ฮีพูดถึง Chekhov และพูดถึง Kafka บ่อยครั้งเลยทีเดียวววว

แต่ Carrère ก็มีจิกกัด Nabokov อยู่ว่า ชอบวิธีการเขียนของนะ แต่คุณตา Nabokov เต็มไปด้วยตัวเองไปหน่อย 555 his way of not giving a damn about anything. I love him the way I used to love Nabokov, only he’s less pedantic, less full of himself than Nabokov.

เราทุกคนล้วนเป็นนักโทษของบุคลิกภาพของตนเอง ถูกคุมขังไว้ด้วยวิธีคิดและการกระทำไม่กี่ทางของเรา เราต่างอยากรู้ว่าถ้าเรากลายเป็นคนอื่นจะเป็นอย่างไร ผมเป็นนักเขียนเพื่อจะได้จินตนาการถึงสิ่งเหล่านี้ ..

Emmanuel Carrère

คิดถึงประสบการอ่านที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ต้องมีใครแนะนำ ไม่จำเป็นต้องอ่านก็ได้แต่เราอยากอ่านเพราะมันสนุกกกก ❤️

อย่างที่บอกไป เพราะช่วงนี้เรา Work From Home เป็นส่วนใหญ่ เราเลยเบื่อมากๆๆ ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน จนเริ่มทำอาหาร เลี้ยงหมา ออกไปเดิน อ่านเจออะไรก็รู้สึกไม่ตื่นเต้น ทุกอย่างมันชั่วคราวไปหมด แล้วสมองมันก็รับข้อมูลมหาศาลทุกๆ วัน เลื่อนๆ ไถๆ ไป ทุกอย่างมันต้องรีบผลิต รีบเสพ รีบรับเพื่อเคลื่อนไปสู่เรื่องต่อๆไป รู้สึกว่าเราช่างเป็น Transient Being เหลือเกิน พอได้อ่านงานเรียงความยาวๆ ซอยเป็นหลายส่วน แล้วเขาพยายามเล่าหลายมุม บางทีก็อ่านแล้วงง รู้สึกมันเติมเต็มมากๆ เลย คือผู้เขียนแม่งนั่งและคิดกับมันนานมากๆ ประโยคนี้พี่คิดนานนไหม นักเขียนที่เรารักคือนักเขียนที่เราอิจฉาอย่างถึงที่สุด How dare you write what’s in my mind so clear and fresh!

เล่มนี้เราหยิบมาอ่านแบบแรนด้อมมาก กดลองอ่าน Sampleใน Kindle ดีใจที่อ่านไปเลยแล้วชอบโดย ไม่ได้สืบค้นมาก่อนเลยอะไรเลย แรนด้อมมาก พอสนุกบทแรกก็กดซื้อ อ่านต่อๆๆๆ จนจบ พยายามจะไม่เสิร์ชระหว่างทาง จะรู้เท่าที่ผู้เขียนอยากให้เรารู้เท่านั้น จบแล้วค่อยหาอ่านต่อ หรือไปนั่งดูสารคดีก็ได้

เฮ้ย เราคิดถึงความรู้สึกนี้มากๆ เลย เพราะยุคนี้กว่าจะได้อ่านจริง ก็คือไปดูไปฟังรีวิวแล้วรีวิวอีก [ซึ่งก็ไม่ผิดนะ มันทำให้เราเลือกสรรจนมั่นใจแล้วค่อยอ่าน] แต่บางที เราไม่แน่ใจว่าเราชอบมันจริงๆ หรือว่าคนอื่นว่ามันดี สังคม approve เค้าอ่านกัน ฯลฯ 555

คือส่วนตัว ยังชอบดูหนังโดยไม่รู้อะไรเลยอยู่ ไม่ต้องดู trailer หรือ synopsis เข้าไปแบบงงๆ พอจบค่อยมาดูว่าคนอื่นเค้าคิดยังไงกับมัน เราพลาดอะไรไป ค่อยมาอ่านต่อ สนุกกว่ามั้ง เพราะอาจเราไม่ได้ต้องอ่านหรือเสพเอาไปทำอะไรต่อ แค่อยากได้รับประสบการณ์ที่ดี สดใหม่ อยากกินอาหารอร่อยแบบไม่ต้องมีคนรีวิวเยอะ เราเดินมั่วๆ แล้วประทับใจ อยากอ่านข้อเขียนที่ well written อยากสัมผัสเข้าใจมนุษย์คนอื่นที่นอกเหนือไปจากตัวเรา

แต่ก็คงไม่ได้แนะนำใครว่าต้องอ่านนนนนน คือไม่ได้มีความจำเป็นอะไร เนื้อหาก็อาจจะไม่เกี่ยวกับเราเท่าไหร่ แต่ก็เป็นการหลีกหนีชีวิตจริงที่ดีเลย ไปสัมผัสพบเจอกับชีวิตคนอื่นๆ ที่ต่างไปจากเรา

หนังสือเล่มนี้แค่รวบรวมชีวิตคนอันหลากหลายโดยเล่าได้สนุกมาก แค่วิธีการมันน่าประทับใจและเราในช่วงนี้กำลังหาสิ่งนี้อยู่ 5555 เราอยากเห็นวิธีการเขียนแบบนี้กับประเด็นสังคมหรือการเมืองไทยมากๆๆๆๆ อยากอ่าน (ให้เขียนเองยังไม่มีปัญญา 555 ต้องไปสะสมจิตใจและประสบการณ์ชีวิตมาก่อน)

สรุปคือ เราแค่เขียนความประทับใจ ใครอยากอ่านรีวิวเต็มๆ เชิญ https://www.nytimes.com/2019/12/12/books/review/97196-words-emmanuel-carrere.html

ทั้งหมดนี้คือความประทับใจจากการอ่านหนังสือสักเล่มที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เพราะว่า reading for the sake of reading is wonderful enough ❤️