หญิงวัยกลางคนเชิญศิลปินดังมาเยี่ยมบ้านในเมืองเล็กๆ ริมทะเล โดยหวังว่าเขาจะมาคลี่คลายไขปมชีวิตเบื้องลึกของเธอได้ 5555 เออ อะไรวะ งงแต่กลายเป็นอ่านจบอย่างไว
เจอน้อนวางอยู่ในร้านหนังสือแบบอยู่ผิดชั้น เหมือนคนหยิบมาแล้วเปลี่ยนใจไม่เอา ปกก็สวยดี เราก็กำลังเบื่อๆ โลกเต็มไปด้วยหนังสือที่น่าอ่าน .. ไหนลองอ่านเล่มที่เราไม่รู้ห่าไรเลยดูซิ 555 อ่านคำปกหลังก็คือไม่ได้ช่วยอะไร คืออยากได้มือพระเจ้าแรนด้อมเลือกสักอย่างให้เราในโลกที่ตัวเลือกมี abundant อ่านไปก็สนุกดีๆๆๆ สรุปจบไวกว่าอีก 100+ เล่ม อันแสนน่าอ่านที่ค้างไว้
Why do we live so painfully in our fictions? Why do we suffer so, from the things we ourselves have invented? Do you understand it, Jeffers?
หนังสือนิยายขนาด 186 หน้า เล่าผ่านมุมมมองของตัวเอกคือผู้หญิงวัยกลางคนชื่อย่อ ‘M’ ชีวิตนางดูไม่มีปัญหาอะไร มีบ้านหลังเล็กในเมืองริมทะเลแสนเงียบสงบบวกเรือนแยกสำหรับแขกมาสัมผัสความสงบสุขในชนชท หลังจากลำบากกับการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวชีวิตเธออยู่ในช่วงเบื่อๆ แต่ไม่ลำบากอะไร ผัวปัจจุบันเป็นคนเรียบง่าย อบอุ่น พึ่งพาได้ ไม่ตื่นเต้นหวือหวา ชีวิตคู่ที่สุขสงบดีแต่ก็แอบแห้งแล้งเพราะเงียบงันไม่เหลือเรื่องอะไรที่จะคุยกันอีกแล้ว เธอก็มักจะชวนแขกมาพักที่บ้านเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
วันดีคืนดี เธอเลยเชิญศิลปินผู้เคยดังคนหนึ่งนามว่า ‘L’ มาพักร้อนที่บ้านน้อยหรือ Second Place ของเธอ เธอเคยชวนแล้วเขาไม่มา แต่ตอนนี้ L กำลังตกอับ ไร้เงินเก็บ ไร้ญาติขาดมิตร อยู่จุดตกต่ำของอาชีพ เขาก็เลยหอบของมาอาศัยอยู่
เธอชื่นชอบงานของเขาที่ดูดาร์กดิบ เขามีเบื้องหลังชีวิตวัยเด็กอันน่าเศร้า งานศิลปะของเขาทัชเธอมาก M จึงผูกจิตผูกใจว่า L จะมาเปลี่ยนชีวิตน่าเบื่อของเธอได้ ศิลปินที่เราชอบงานกับตัวจริง มันไม่เหมือนกัน แต่มันก็ครือ reality vs expectation อะนะ 55555
เกิดเป็นที่มาของความอึดอัด ความอิหยังวะ ความงงๆ ความพยายามจูนกันของตัวละครที่ไม่เข้าใจกันตลอดทาง คนประนีประนอมของการอยู่อาศัยร่วมกัน นอกจากนี้ L ก็คือมาเพื่อนสาวไฮโซพ่วงมาด้วยโดยไม่บอกล่วงหน้า วงวารรรร บ้านยิ่งไม่ใช่ที่ของเธอแต่กลายเป็นของคนอื่น คนแปลกหน้าที่เชิญและไม่เชิญมาก็ได้เข้ามาเขย่าสมดุลในจักรวาลของเธอ อ่านแล้วก็เลยรู้สึกไม่ Comfortable ตลอดทาง
นอกจากแขกทั้งสอง ในบ้านยังมีลูกสาวที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แต่ตกงานเลยมาอาศัยไปพลางๆ นอกจากนี้มีแฟนลูกสาวที่มาอยู่ฟรีชิวๆ พ่อหนุ่มค้นหาตัวเองและวันดีคืนดีก็อยากเป็นนักเขียน เธอและสามีก็ไม่ได้ว่าอะไร ลูกที่ได้ไปใช้ชีวิตในเบอร์ลินเก๋ๆ เธอก็แอบทำใจคงไม่คิดว่าเธอที่เป็นแม่บ้านธรรมดานั้นจะน่าสนใจพอสำหรับลูกอีกต่อไป แต่คนเราก็ต้องเติบโตกันไป เธอก็คิดว่าหน้าที่การเป็นแม่ก็คือต้องพร้อมซัพพอร์ตลูกไปตลอดชีวิตนั่นแหละ บางห้วงเราชอบมาก คือมีความรู้สึกของคนที่แม่ที่กังวล เมื่อลูกสาวนั้นเชื่อฟังแฟนของเธอมากจนไม่มีความเห็นเป็นของตัวเอง I can relate to that feeling !
สนุกดีกับการได้จำลอง perspective ของการเป็นแม่ เป็นภรรยา เป็นคนวัยกลางคนที่เหนื่อยล้าและสับสน แต่ก็ดำเนินชีวิตไป (จำลองโลกที่เราไม่ได้เป็น 555) ได้รู้สึกอึดอัดกับคนที่คอยซัพพอร์ตคนอื่นเสมอแต่ก็แอบเศร้าและน้อยใจ คนที่ยอมไม่สะดวกเพื่อให้คนอื่นสะดวก เวลาผ่านไป วันหนึ่งเริ่มสงสัยว่าตัวเองเป็นใครกันนะ เราต้องการอะไรกันแน่ ชีวิตมีปริศนาที่ต้องไขแม้ชีวิตเราจะดูไม่มีอะไร คนที่ adjust ตัวเองตามบริบทรอบข้างเสมอ คอยเช็คบรรยากาศ เช็ค temperature คนในห้องเสมอ เธอสังเกตและสนับสนุนทุกคนอย่างดี แต่ทุกคนก็ดูจะมองเธอเป็นของตาย เป็นแม่ที่น่าเบื่อ
ในความน่าเบื่อของชีวิตที่แอบหวังว่ามันจะมีอะไรมากกว่านั้น บางทีวันดีคืนดี เราบังเอิญไปเจอบางคนหรือบางสิ่งที่ดูจะเชื่อมต่อกันได้ เราก็ดันไปผูกจิตปักใจว่า เขาจะไขคำตอบคลี่คลายปมทุกอย่างในชีวิตให้เราได้ ทั้งที่เออ ไม่มีคำตอบที่ง่ายขนาดนั้นหรอก ใครจะไขปัญหาในชีวิตเราได้ ปัญหาชีวิตเขาเองยังไม่รอดเลย
อ่านแล้วก็เออว่ะ ต่อให้เราเติบโตจนจะแก่แล้วก็ยังหลงทาง สับสน แอบหวัง อคติเบลอจนมองไม่เห็นว่าคนที่เรารักนั้นจริงๆ แล้วแม่งกาก ให้คำแนะนำผิดๆ หรือพูดจามึนๆ เหมือนจะเท่เอาซีน หรือคิดถึงแต่ตัวเองแค่ไหน ได้เห็นผู้ชายเข้าวัยกลางคนเวลาผ่านไป ยังผูกจิตกับคนรักสมัยตัวเองวัยรุ่นจนแอบหวังผูกมิตรกับลูกสาวเขา that’s so creepy (นี่มัน Bojack Horseman Scenario) นึกถึงคำที่บอกว่าบางที ศิลปินที่เราชอบงาน เราก็ไม่จำเป็าต้องไปล้วงลึกรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวก็ได้แก
ชอบที่ไม่มีตัวละครไหนที่เราชอบเป็นพิเศษ ทุกคนคือมีด้านน่ารักและน่าตบ น่ายีหัว แต่ก็อยากเสือกตัวละครมันปฏิสัมพันธ์กันยังไง จะรอดไหม เพราะมันทั้งหมั่นไส้ อึดอัด ดูเชิงกัน บ่นตัดพ้อ ไม่เข้าใจกัน เห็นใจกัน เป็นธรรมชาติ เป็นสันดานคนมากๆ สนุกกับการที่ Narrator แม่งไม่เหมือนเราเลย ถ้าเป็นเราตอนวัยรุ่นก็อาจจะไม่ชอบเพราะไม่ชอบตัวละครหลัก แต่ยิ่งได้เข้าไปจำลองและสวมรองเท้าคนที่เราไม่เข้าใจ ไม่ได้เป็น รู้สึกไม่เห็นด้วย อีนี่ตอแหล อีนี่หลอกตัวเอง อีนี่ have no clue มันกลายเป็นอ้าวสนุก ลุ้น จบเฉย สรุปอีนางคือทุกข์ทนอยู่ในเรื่องราวที่ตนเองมโน แต่ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ 555
ชอบความเป็น Unreliable Narrator ของตัวเอก อาจจะเบื่อแล้วกับหนังสือที่เราชอบหรือเห็นด้วยกับตัวละครหลัก บางห้วงคือแทบจะกรี๊ด แบบอีห่านี่ ทำไมต้องปกป้องคนที่ obviously asshole, are you blind or numb or lacking self-respect? 5555 อ่านจบแล้วก็เออดี ไม่ได้คาดหวังว่าคนเราแก่ไปแล้วจะต้องเรียนรู้อะไร ก็สับสน งุนงงกันไปตลอดชีวิต พอย้อนกลับไปดูทำไมกูง่าวแท้ นี่แหละสนุกดี 55555
“There’s a certain point in life at which you realise it’s no longer interesting that time goes forward – or rather, that its forward-going-ness has been the central plank of life’s illusion, and that while you were waiting to see what was going to happen next, you were steadily being robbed of all you had. Language is the only thing capable of stopping the flow of time, because it exists in time, is made of time, yet it is eternal – or can be.”
You get tired of reality, and then you discover it’s already gotten tired of you
สารภาพว่าห่างจากการอ่านไปนานมาก ไม่รู้เอาเวลาไปทำอะไร ตอนนี้เริ่มมีไฟกลับมาอยากอ่านหนังสือ ครึ่งปีที่เหลือเจอกันนนน 🧡